สหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงเทคโนโลยีใหม่ รับมือจีนและภัยไซเบอร์

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 สภาคองเกรสของสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีฉบับใหม่ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านไซเบอร์และการครอบงำเทคโนโลยีจากประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะจีน

ร่างกฎหมายฉบับนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "กฎหมายการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งชาติ พ.ศ. 2568" ซึ่งประกอบด้วยมาตรการหลายด้านที่ครอบคลุมตั้งแต่การเพิ่มงบประมาณในการวิจัยปัญญาประดิษฐ์ การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงการสนับสนุนความร่วมมือกับภาคเอกชนในการป้องกันภัยไซเบอร์

ประเด็นสำคัญในร่างกฎหมายคือการห้ามหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ซอฟต์แวร์จากจีนหรือฮาร์ดแวร์ที่มีโอกาสเป็นภัยต่อความมั่นคง นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติที่มอบอำนาจให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสามารถแทรกแซงและปิดระบบโครงข่ายที่ถูกบุกรุกได้ในกรณีฉุกเฉิน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงหลังการลงมติว่า รัฐบาลพร้อมลงนามเป็นกฎหมายทันที และย้ำว่าการปกป้องเทคโนโลยีของชาตินั้นเป็นเสาหลักของความมั่นคงในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งเชิญชวนประเทศพันธมิตรในยุโรปและเอเชียเข้าร่วมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีในระดับโลก

นักวิเคราะห์ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่เพียงสะท้อนความตึงเครียดระหว่างจีน–สหรัฐฯ ที่ยกระดับขึ้นในเวทีเทคโนโลยี แต่ยังแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังผลักดันการสร้างระบบเทคโนโลยีแบบปิดล้อมใหม่ (Techno-bloc) ที่มีพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรปเข้าร่วม เพื่อถ่วงดุลกับความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI และ 5G

ภาคเอกชนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อาทิ Google, Microsoft, และ Amazon ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยเห็นว่าเป็นโอกาสในการเสริมสร้างนวัตกรรมและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์จากภาคประชาสังคมว่า บางมาตรการในกฎหมายอาจล้ำเส้นสิทธิเสรีภาพของพลเมือง โดยเฉพาะในกรณีที่รัฐสามารถตรวจสอบหรือควบคุมข้อมูลในโครงข่ายได้แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งประเด็นนี้จะต้องจับตาขั้นตอนการบังคับใช้และการถ่วงดุลจากรัฐสภาต่อไป

การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่าความมั่นคงไซเบอร์และอธิปไตยทางเทคโนโลยีได้กลายเป็นประเด็นหลักในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติตะวันตก ซึ่งจะมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยีสารสนเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ในทศวรรษต่อไป